สถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น

1. Kawachi Fuji Garden : ฟุกุโอกะ

อยากมีความรู้สึกเหมือนได้เดินอยู่ในภาพวาดสีน้ำมันแสนสวยไหม ? ที่ในฝันตั้งอยู่ที่นี่แล้วค่ะท่ามกลางอุโมงค์ดอกไม้ Wisteria นั่นเอง สวน Kawachi Fuji Garden นี้มีต้น Wisteria มากกว่า 150 ต้นและ 20 สายพันธุ์ เหมาะกับการไปเดินชิลล์ๆ ผ่อนคลายสบายใจ นอกจากนี้ช่วงปลายๆ เดือนเมษายนของทุกปีจะมีการเฉลิมฉลอง Wisteria Festival อีกด้วยค่ะ

2. Happo Pond : นางาโน่

 

Happo Pond ตั้งอยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติของนากาโน่ รู้จักกันในชื่อของสถานที่เหมาะกับการเล่นสกีในฤดูหนาว แอ่งน้ำนี้อยู่ในภูเขาที่มีความสูงถึง 2,060 เมตรจากระดับน้ำทะเลเลยทีเดียว แน่นอนว่าวิวตรงนี้สวยงามจับใจค่ะ

3. Motonosumi-inari Shrine : ยามากุจิ


เสาโทริอิสีแดงตั้งตระง่านจากภูเขาไปจนถึงทะเล ที่นี่คือ Motonosumi-inari Shrine ศาลเจ้าที่ช่วยให้ผู้คนที่มาอธิษฐานประสบความสำเร็จ เชื่อไหมล่ะว่า หลังจากที่คุณหย่อยเงินบริจาคลงในกล่องรับบริจาคตรงเสาโทริอิต้นสุดท้าย ความหวังทั้งหลายของคุณจะประสบความสำเร็จ

 

4. Nachi Fall : วากายามะ


Nachi Fall น้ำตกที่สูงที่สุด และใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ที่สูงถึง 133 เมตร เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่จัดได้ว่าสวยมากๆ ในญี่ปุ่น และบริเวณน้ำตกยังมีศาลเจ้า Kumano Nachi Taishai แดนศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า หนึ่งในมรดกโลก อยู่ใกล้ๆ ยิ่งทำให้รู้สึกอยากจะไปเที่ยวสักครั้ง

 

5. Zao Ski Resort : ยามากาตะ


Zao Onsen เป็นรีสอร์ทที่รู้จักกันทั่วไปในรีสอร์ทที่คนญี่ปุ่นจะไปเล่นสกี และที่นี่ไม่ได้มีดีเฉพาะช่วงหน้าหนาว หิมะตก ยังมีช่วงที่สวยงามด้วยภูเขา และต้นไม้อีกด้วย

6. Kintetsu Beppu Ropeway : โออิตะ


ที่นี่เป็นอีกสถานที่ที่เราจะได้ชมวิวสวยๆ โดยไม่ต้องปีนเขาไปให้เหนื่อย เพราะมีกระเช้าซึ่งรับน้ำหนักผู้โดยสารได้ถึง 101 คนขึ้นไปบนยอดเขา Tsurumi ที่สูงที่สุด 1,375 เมตรภายใน 10 นาทีค่ะ ซึ่งจากบนนั้นเราจะได้เห็นวิวโดยรอบของ Beppu ภูเขา Yufu และ Kuju อีกด้วย สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการมาเที่ยวก็คือ ช่วงที่ต้นเชอร์รี่บานทั่วไปทั้งเขาค่ะ

7. Matsumoto Castle : นางาโน่


Matsumoto Castle รู้จักกันในชื่อของ “Crow Castle” หรือ ปราสาทอีกา เพราะภายนอกปราสาทมีสีดำนั่นเองค่ะ Matsumoto Castle นี้ยังเป็นปราสาทที่ทำจากไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นค่ะ มีอายุมากถึง 400 ปีทีเดียว

8. Shiratani Unsuikyo Gorge : คาโกชิม่า


Shiratani Unsuikyo Gorge นี้เป็นสถานที่เหลือเชื่อที่ไม่น่ามีอยู่บนโลกจริงๆ และที่สำคัญยังเป็นสถานที่ให้แรงบันดาลใจในภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง Princess Mononoke ของสตูดิโอ Ghibi อีกด้วย

 

9. Hitachi Seaside Park : อิบารากิ

Hitachi Seaside Park รู้จักกันดีในชื่อ “Baby Blue Eyes” เป็นสวนที่ได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่นบนเนินเขา Miharashi มีขนาดกว่า 190 เฮกเตอร์ ดอกไม้ที่ปลูกที่นี่มีความสวยงาม น่าตื่นตาตื่นใจ เพราะในแต่ละฤดูกาล ทางสวนจะมีการปลูกดอกไม้ที่แตกต่างกันออกไป ไฮไลท์คือการมาถึงเนินเขาที่เต็มไปด้วย ดอก“Nemophilia” ซึ่งเป็นดอกไม้สีฟ้าขนาดเล็กสวยเหมือนในนิทาน 4.5 ล้านดอกเรียงๆ กันอย่างอลังการ

 

10. Sagano : เกียวโต


ป่าไผ่ Sagano เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวควรแวะมาเที่ยวสักครั้งหากได้มาญี่ปุ่นค่ะ เราสามารถเดินชมป่าไผ่ตามทางเดินที่ได้จัดไว้ให้เป็นระยะทาง 500 เมตร ตลอดสองข้างทางเดินประกอบไปด้วยต้นไผ่สูงชะลูด และในระหว่างทางนักท่องเที่ยวจะได้เพลิดเพลินไปกับเสียงลำไผ่สีกันยามลมพัด นับเป็นเสียงธรรมชาติที่แสนไพเราะสุดจะบรรยายไปเลยทีเดียว

 

11. Otaru Snow Light Path Festival : ฮอกไกโด


Napatsan Puakpong/Shutterstock.com

เทศกาลในช่วงฤดูหนาวที่พลาดไม่ได้อีกแห่งที่ฮอกไกโดคือ เทศกาล Otaru Snow Light Path Festival ค่ะ จัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์เป็นเวลา 10 วันด้วยกัน ความน่าประทับใจคือแสงเทียนนับร้อยที่ลอยอยู่ในแม่น้ำจะเปล่งแสงสว่างชวนฝัน

 

12. Usa Shrine : โออิตะ


ศาลเจ้า Usa Shrine แห่งนี้สร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 8 เพื่อถวายแด่เทพเจ้า Hachiman เทพแห่งการยิงธนูและสงคราม ผู้คนมักมาขอพรที่นี่เพื่อความโชคดี

 

13. Mt.Daisen : ทตโตะริ


Mt.Daisen เป็นภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมในทตโตะริ ส่วนหนึ่งของภูเขาไดเซน เป็นอุทยานแห่งชาติไดเซน-โอกิ (Daisen-Oki National Park) สูงถึง 1,729 เมตร เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku) และรวมอยู่ใน 100 อันดับภูเขาที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นอีกด้วย นอกจากนี้ภูเขาแห่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณ และศูนย์กลางของการบูชาภูเขา มาเป็นเวลานาน

 

 

14. Itsukushima Shrine : ฮิโรชิม่า


เชื่อไหมล่ะว่า เสาโทริอิสีแดงสูงกว่า 16 เมตรนี้เป็นประตูเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์ และโลกวิญญาณ และคอยป้องกันไม่ให้วิญญาณชั่วร้านเข้ามาในโลกฝั่งนี้ได้ แน่นอนว่าเป็นความเชื่อที่มีมาช้านานของญี่ปุ่น แต่ประตูศักดิ์สิทธิ์นี้ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญไปอีกด้วย

 

15. Lavender Farm : ฮอกไกโด

เที่ยวญี่ปุ่น สุดชิลล์ชมทุ่งลาเวนเดอร์ ฟาร์มโทะมิตะ Farm Tomita ที่ฟุระโนะ ฮอกไกโด

ประมาณเดือนมิถุนายน – กันยายนของทุกปี ในแถบนี้จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาชมความงดงามของทุ่งลาเวนเดอร์ที่บานสะพรั่งชูสีสันสดใสสวยงามไปทั่วทั้งเมือง โดยเฉพาะฟาร์ม Tomita ซึ่งมีการปลูกต้นลาเวนเดอร์สวยงามมาก ใครได้ไปเที่ยวแล้วอย่าได้พลาดชิมไอศกรีมลาเวนเดอร์กันด้วยนะ

16. Golden Pavilion : เกียวโต


ปราสาทคินคาคุจิ (Kinkaku) หรือปราสาททองนี้ เดิมเป็นสถานตากอากาศของ โชกุนโยชิมิสึ (Yoshimitsu) แห่งตระกูลอาชิคางะ จากภาพยนตร์เรื่อง เณรน้อยเจ้าปัญญา อิคคิวซัง นั่นเองค่ะ เป็นสีทองจาก ทองคำเปลว อีก จุดเด่นของปราสาทแห่งนี้ก็คือรูปหล่อ นกฟีนิกซ์ บนยอดปราสาท โดยรอบปราสาทมีลำธารน้ำใสสะอาดทำให้เกิดภาพสะท้อนผิวน้ำแสน สวยราวภาพวาด

17. Lake Toya : ฮอกไกโด


Lake Toya เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่รูปวงกลม มีเส้นรอบวงยาวประมาณ 40 กิโลเมตรเลยทีเดียว เกิดจากปากปล่องภูเขาไฟค่ะ และความพิเศษตรงที่น้ำจะไม่แข็งตัวในช่วงฤดูหนาว ในหน้าร้อนอากาศก็เย็นสบายเหมาะสำหรับเดินเล่น ปั่นจักรยาน หรือล่องเรืออีกด้วย นอกจากนี้กลางทะเลสาบมีเกาะเล็กๆอ ยู่ตรงกลาง คือ เกาะ Nakajima ซึ่งสามารถลงไปเดินเล่นได้

 

18. Ninnaji Temple : เกียวโต


วัดนินนาจิ ได้รับการถูกบันทึกเป็นมรดกโลก World Heritage Sites เป็นหนึ่งในวัดที่มีความสำคัญของเกียวโตค่ะ ไฮไลท์ของที่นี่คือ อาคารโกเท็น (Goten) สร้างขึ้นในรูปแบบของพระราชวังอิมพีเรียล และมีทางเดินเชื่อมต่อที่ตกแต่งอย่างหรูหรา นอกจากนี้ยังมีประตูบานเลื่อนแบบญี่ปุ่นโบราณ (fusuma) โดยรอบของอาคารจะถูกโอบล้อมไปด้วยสวนหินและบ่อน้ำแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมอีกด้วย

 

19. Gokayama : โทยามะ


Gokayama เป็นหมู่บ้านมรดกโลกที่ตั้งอยู่ในจังหวัดโทยามะ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่มีสถาปัตยกรรมที่ดีที่สุด และเก่าแก่ที่สุด มีอายุกว่า 400 ปี ไฮไลท์สำคัญก็คือ บ้านทรงแบบ gassho ซึ่งหลังคาบ้านจะมุงด้วยหญ้าทำให้มีความลาดเอียงอย่างมากนี้ เป็นลักษณะพิเศษที่เห็นได้ชัด เป็นรูปแบบงานก่อสร้างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมือง Gokayama เนื่องจากอยู่ในพื้นที่หิมะตกหนัก หลังคาแบบนี้จะทำให้หิมะที่ทับถมบนหลังคาไหลลงมาได้ง่าย

 

20. Lake Kussharo : ฮอกไกโด


ทะเลสาบ Kussharo เป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของฮอกไกโด น้ำสีฟ้าของที่นี่ จะกลายเป็นผืนน้ำแข็งในฤดูหนาว เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อถึงช่วงฤดูหนาว อากาศที่นี่จะหนาวขนาดไหน

 

21. Sensoji Temple : โตเกียว

เที่ยวญี่ปุ่นห้ามพลาด วัดเซ็นโซจิ อาซากุสะ (Sensoji Temple) แวะถ่ายรูปโคมแดง ที่โตเกียว

หลายคนที่ไปเที่ยวโตเกียว ถ้าพลาดที่นี่ถือว่ายังไปไม่ถึงโตเกียวเลยก็ว่าได้ ที่ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) หรือที่ใครๆ ต่างเรียกกันติดปากว่า วัดอาซากุสะ (Asakusa Temple) ค่ะ

ที่วัดเซ็นโซจินี้ มีสัญลักษณ์เป็นโคมสีแดงใหญ่ ที่เขียนเป็นตัวอักษรคันจิว่า Kaminari-Mon ซึ่งแปลว่า ประตูสายฟ้า ค่ะ ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา หรือนักท่องเที่ยวจดจำวัดนี้ได้เป็นอย่างดี และด้วยที่ตั้งที่อยู่ในย่านอาซากุสะ ทำให้ทุกคนเรียกวัดนี้ว่า วัดอาซากุสะ นั่นเอง

22. Himeji Castle : เฮียวโกะ


ปราสาท Himeji นั้นมีประวัติศาสตร์ก่อตั้งกว่า 400 ปี ซึ่งนับเป็นปราสาทที่คงสภาพเดิมที่สุดในญี่ปุ่น และได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกเป็นครั้งแรกของประเทศญี่ปุ่นในปี 1993 ความสง่างามของปราสาทได้รับขนานนามว่า “ปราสาทนกกระยางขาว” อีกด้วย นอกจากนี้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ต้นซากุระจำนวนกว่า 1,000 ต้นภายในปราสาทจะบานสะพรั่ง และจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาชมดอกไม้

 

23. Jigokudani Monkey Park : นางาโน่

หลายคนมาออนเซ็นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และฤดูหนาว แต่ที่นี่พวกเขาหวังมากกว่านั้น !! ที่มากกว่าที่อื่นก็คือ การมาดูลิงแช่น้ำร้อนที่ออนซ็นนั่นเอง ลิงกว่า 200 ตังที่อาศัยอยู่บนภูเขาจะลงมาแช่น้ำร้อน เพราะเวลาหนึ่งในสามของแต่ละปีจะถูกปกคลุมด้วยหิมะ นักท่องเที่ยวก็จะนิยมมาแช่ออนเซ็นกับลิง ได้บรรยากาศเหมือนมาดาวเคราะห์ของลิงเลยทีเดียว

24. Hakuba Village : นางาโน่


เมือง Hakuba เป็นเมืองที่ดีในช่วงฤดูหนาว เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวของนักสกี มีรีสอร์ทสกีมากมาย แต่ในช่วงฤดูร้อน วิวทิวทัศน์ที่ต่างออกไปจากเดิมก็สวยงามไม่แพ้กัน

 

25. Adachi Museum of Art : ชิมาเนะ

Takamex/Shutterstock.com

สวน Adachi เป็นส่วนหนึ่งของ Adachi Museum of Art ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นสวนที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น และแสดงให้เห็นถึงภาพวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน

 

26. The Sagano Railway : เกียวโต

Tooykrub/Shutterstock.com

รถไฟสายนี้เป็นรถไฟที่นั่งเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ เรียบแม่น้ำโฮซุกาว่า (Hozugawa River) ค่ะ ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า รถๆฟสายโรแมนติก ถามว่าทำไมถึงได้ชื่อว่าเป็นรถไฟสายโรแมนติกนั้น ต้องขอตอบว่า วิวสองข้างทางตลอดที่รถไฟผ่านนั้น 7 กิโลเมตรจะเป็นหุบเขาสลับซับซ้อน และบ้านเรือนชนบท รวมถึงตัวรถไฟเองที่เป็นแบบโบราณ ใครที่ได้ขึ้นไปนั่งชมวิว ยิ่งเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีแล้วด้วยนั้น จะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า โรแมนติกมากๆ ค่ะ

 

27. Fuji Shibazakura Festival : ยามานาชิ


ทุกๆ ปีในช่วงเมษายน-พฤษภาคม หน้าร้อนของญี่ปุ่นจะมี เทศกาลทุ่งดอกชิบะซากุระ (Shibazakura) เฉลิมฉลองการบานสีชมพูสะพรั่งของดอกชิบะซากุระ หรือ Moss Pink นั่นเอง ซึ่งจะมีพื้นที่ถึง 2.4 เฮกเตอร์เลยทีเดียว รับรองว่าทุกตารางจะเต็มไปด้วยสีชมพูสดใส สำหรับปีนี้จะตรงกับวันที่ 18 เมษายน-31 พฤษภาคม

 

28. Senganen Garden : คาโกชิม่า

วิวสวยสไตล์ญี่ปุ่นมากๆ มีทั้งสวนสวย, ทะเล, ออนเซ็น, ศาลเจ้า, ซุ้มไม้ไผ่ ตลอดแนวชายฝั่งทะเลทางด้านเหนือของเมืองคาโกชิม่า นอกจากนั้นนักท่องเที่ยวสามารถไปเที่ยวชมภูเขาไฟ Sakurajima และอ่าวคาโกชิม่า ที่สำคัญสวนนี้มีมาตั้งแต่ปี 1658 ซึ่งเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นเข้าสู่ยุครักษ์ธรรมชาติ

 

อ้างอิง : http://travel.truelife.com/

 

 

 

ประวัติสุนทรภู่ ครูกลอนกวีเอกของโลก

 

วันสุนทรภู่ 26 มิถุนายน

 

ชีวประวัติ “สุนทรภู่”

          สุนทรภู่ กวีสำคัญสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เกิดวันจันทร์ เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช 1148 เวลา 2 โมงเช้า หรือตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 เวลา 08.00 น. นั่นเอง ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง (บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบัน)

บิดาของท่านเป็นชาวกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ชื่อพ่อพลับ ส่วนมารดาเป็นชาวเมืองฉะเชิงเทรา ชื่อแม่ช้อย สันนิษฐานว่ามารดาเป็นข้าหลวงอยู่ในพระราชวังหลัง เชื่อว่าหลังจากสุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าร้างกัน บิดาออกไปบวชอยู่ที่วัดป่ากร่ำ ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง อันเป็นภูมิลำเนาเดิม ส่วนมารดาได้เข้าไปอยู่ในพระราชวังหลัง ถวายตัวเป็นนางนมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระธิดาในเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ดังนั้น สุนทรภู่จึงได้อยู่ในพระราชวังหลังกับมารดา และได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง ซึ่งสุนทรภู่ยังมีน้องสาวต่างบิดาอีกสองคน ชื่อฉิมและนิ่ม อีกด้วย

“สุนทรภู่” ได้รับการศึกษาในพระราชวังหลังและที่วัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) ต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนนายระวางกรมพระคลังสวน ในกรมพระคลังสวน แต่ไม่ชอบทำงานอื่นนอกจากแต่งบทกลอน ซึ่งสามารถแต่งได้ดีตั้งแต่ยังรุ่นหนุ่ม เพราะตั้งแต่เยาว์วัยสุนทรภู่มีนิสัยรักแต่งกลอนยิ่งกว่างานอื่น ครั้งรุ่นหนุ่มก็ไปเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่วัดศรีสุดารามในคลองบางกอกน้อย ได้แต่งกลอนสุภาษิตและกลอนนิทานขึ้นไว้ เมื่ออายุราว 20 ปี

ต่อมาสุนทรภู่ลอบรักกับนางข้าหลวงในวังหลังคนหนึ่ง ชื่อแม่จัน ซึ่งเป็นบุตรหลานผู้มีตระกูล จึงถูกกรมพระราชวังหลังกริ้วจนถึงให้โบยและจำคุกคนทั้งสอง แต่เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. 2349 จึงมีการอภัยโทษแก่ผู้ถูกลงโทษทั้งหมดถวายเป็นพระราชกุศล หลังจากสุนทรภู่ออกจากคุก เขากับแม่จันก็เดินทางไปหาบิดาที่ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง และมีบุตรด้วยกัน 1 คน ชื่อ “พ่อพัด” ได้อยู่ในความอุปการะของเจ้าครอกทองอยู่ ส่วนสุนทรภู่กับแม่จันก็มีเรื่องระหองระแหงกันเสมอ จนภายหลังก็เลิกรากันไป

หลังจากนั้น สุนทรภู่ ก็เดินทางเข้าพระราชวังหลัง และมีโอกาสได้ติดตามพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ในฐานะมหาดเล็ก ตามเสด็จไปในงานพิธีมาฆบูชา ที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2350 และเขาก็ได้แต่ง “นิราศพระบาท” พรรณนาเหตุการณ์ในการเดินทางคราวนี้ด้วย และหลังจาก “นิราศพระบาท” ก็ไม่ปรากฏผลงานใด ๆ ของสุนทรภู่อีกเลย

จนกระทั่งเข้ารับราชการในปี พ.ศ. 2359 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์ และเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนแต่งตั้งให้เป็นกวีที่ปรึกษาและคอยรับใช้ใกล้ชิด เนื่องจากเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแต่งกลอนบทละครในเรื่อง “รามเกียรติ์” ติดขัดไม่มีผู้ใดต่อกลอนได้ต้องพระราชหฤทัย จึงโปรดให้สุนทรภู่ทดลองแต่ง ปรากฏว่าแต่งได้ดีเป็นที่พอพระทัย จึงทรงพระกรุณาฯ เลื่อนให้เป็น “ขุนสุนทรโวหาร”

“สุนทรภู่” รับราชการอยู่เพียง 8 ปี เมื่อถึงปี พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต หลังจากนั้นสุนทรภู่ก็ออกบวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) อยู่เป็นเวลา 18 ปี ระหว่างนั้นได้ย้ายไปอยู่วัดต่าง ๆ หลายแห่ง ได้แก่ วัดเลียบ, วัดแจ้ง, วัดโพธิ์, วัดมหาธาตุ และวัดเทพธิดาราม ซึ่งผลจากการที่ภิกษุภู่เดินทางธุดงค์ไปที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ปรากฏผลงานเป็นนิราศเรื่องต่าง ๆ มากมาย งานเขียนชิ้นสุดท้ายที่ภิกษุภู่แต่งไว้ก่อนลาสิกขาบท คือ รำพันพิลาป โดยแต่งขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม พ.ศ. 2385

ทั้งนี้ ระหว่างที่ออกเดินทางธุดงค์ ภิกษุภู่ได้รับการอุปการะจากพระองค์เจ้าลักขณานุคุณจนพระองค์ประชวรสิ้นพระชมน์ สุนทรภู่จึงลาสิกขา รวมอายุพรรษาที่บวชได้ประมาณ 10 พรรษา สุนทรภู่ออกมาตกระกำลำบากอยู่พักหนึ่งจึงกลับเข้าไปบวชอีกครั้งหนึ่ง แต่อยู่ได้เพียง 2 พรรษา ก็ลาสิกขา และถวายตัวอยู่กับเจ้าฟ้าน้อย หรือสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระราชวังเดิม รวมทั้งได้รับอุปการะจากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพอีกด้วย

ในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ครองราชย์ ทรงสถาปนาเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่วังหน้า (พระบวรราชวัง) สุนทรภู่จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “พระสุนทรโวหาร” ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายบวรราชวังในปี พ.ศ. 2394 และรับราชการต่อมาได้ 4 ปี ก็ถึงแก่มรณกรรมใน พ.ศ. 2398 รวมอายุได้ 70 ปี ในเขตพระราชวังเดิม ใกล้หอนั่งของพระยามนเทียรบาล (บัว) ที่เรียกชื่อกันว่า “ห้องสุนทรภู่”

สำหรับทายาทของสุนทรภู่นั้น เชื่อกันว่าสุนทรภู่มีบุตรชาย 3 คน คือ “พ่อพัด” เกิดจากภรรยาคนแรกคือแม่จัน, “พ่อตาบ” เกิดจากภรรยาคนที่สองคือแม่นิ่ม และ “พ่อนิล” เกิดจากภรรยาที่ชื่อแม่ม่วง นอกจากนี้ ปรากฏชื่อบุตรบุญธรรมอีกสองคน ชื่อ “พ่อกลั่น” และ “พ่อชุบ” อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น และตระกูลของสุนทรภู่ได้ใช้นามสกุลต่อมาว่า “ภู่เรือหงส์”

ผลงานของสุนทรภู่

          หนังสือบทกลอนของสุนทรภู่มีอยู่มาก เท่าที่ปรากฏเรื่องที่ยังมีฉบับอยู่ในปัจจุบันนี้คือ…

 ประเภทนิราศ 

– นิราศเมืองแกลง (พ.ศ. 2349) – แต่งเมื่อหลังพ้นโทษจากคุก และเดินทางไปหาพ่อที่เมืองแกลง

– นิราศพระบาท (พ.ศ. 2350) – แต่งหลังจากกลับจากเมืองแกลง และต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการรอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรีในวันมาฆบูชา

– นิราศภูเขาทอง  (ประมาณ พ.ศ. 2371) – แต่งโดยสมมุติว่า เณรหนูพัด เป็นผู้แต่งไปนมัสการพระเจดีย์ภูเขาทองที่จังหวัดอยุธยา

– นิราศสุพรรณ (ประมาณ พ.ศ. 2374) – แต่งเมื่อครั้งยังบวชอยู่ และไปค้นหายาอายุวัฒนะที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นผลงานเรื่องเดียวของสุนทรภู่ที่แต่งเป็นโคลง

– นิราศวัดเจ้าฟ้า (ประมาณ พ.ศ. 2375) – แต่งเมื่อครั้งยังบวชอยู่ และไปค้นหายาอายุวัฒนะตามลายแทงที่วัดเจ้าฟ้าอากาศ (ไม่ปรากฏว่าที่จริงคือวัดใด) ที่จังหวัดอยุธยา

– นิราศอิเหนา (ไม่ปรากฏ, คาดว่าเป็นสมัยรัชกาลที่ 3) แต่งเป็นเนื้อเรื่องอิเหนารำพันถึงนางบุษบา

– รำพันพิลาป (พ.ศ. 2385) – แต่งเมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม แล้วเกิดฝันร้ายว่าชะตาขาด จึงบันทึกความฝันพร้อมรำพันความอาภัพของตัวไว้เป็น “รำพันพิลาป” จากนั้นจึงลาสิกขา

– นิราศพระประธม (พ.ศ. 2385) –เชื่อว่าแต่งเมื่อหลังจากลาสิกขาและเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปนมัสการพระประธมเจดีย์ (หรือพระปฐมเจดีย์) ที่เมืองนครชัยศรี

– นิราศเมืองเพชร (พ.ศ. 2388) – แต่งเมื่อเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เชื่อว่าไปธุระราชการอย่างใดอย่างหนึ่ง นิราศเรื่องนี้มีฉบับค้นพบเนื้อหาเพิ่มเติมซึ่ง อ.ล้อม เพ็งแก้ว เชื่อว่า บรรพบุรุษฝ่ายมารดาของสุนทรภู่เป็นชาวเมืองเพชร

ประเภทนิทาน

          เรื่องโคบุตร, เรื่องพระอภัยมณี, เรื่องพระไชยสุริยา, เรื่องลักษณวงศ์, เรื่องสิงหไกรภพ


ประเภทสุภาษิต

          – สวัสดิรักษา คาดว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 2 ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่เจ้าฟ้าอาภรณ์

– สุภาษิตสอนหญิง เป็นหนึ่งในผลงานซึ่งยังเป็นที่เคลือบแคลงว่า สุนทรภู่เป็นผู้ประพันธ์จริงหรือไม่

– เพลงยาวถวายโอวาท คาดว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่เจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋ว

ประเภทบทละคร

          – เรื่องอภัยณุรา ซึ่งเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อถวายพระองค์เจ้าดวงประภา พระธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

ประเภทบทเสภา

          – เรื่องขุนช้างขุนแผน (ตอนกำเนิดพลายงาม)

– เรื่องพระราชพงศาวดาร

ประเภทบทเห่กล่อม

แต่งขึ้นสำหรับใช้ขับกล่อมหม่อมเจ้าในพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กับพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เท่าที่พบมี 4 เรื่องคือ เห่จับระบำ, เห่เรื่องพระอภัยมณี, เห่เรื่องโคบุตร และเห่เรื่องกากี

ตัวอย่างวรรคทองที่มีชื่อเสียงของสุนทรภู่

ด้วยความที่สุนทรภู่เป็นศิลปินเอกที่มีผลงานทางวรรณกรรม วรรณคดีมากมาย ทำให้ผลงานหลาย ๆ เรื่องของ สุนทรภู่ ถูกนำไปเป็นบทเรียนให้เด็กไทยได้ศึกษา จึงทำให้มีหลาย ๆ บทประพันธ์ที่คุ้นหู หรือ “วรรคทอง” ยกตัวอย่างเช่น

บางตอนจาก นิราศภูเขาทอง

“ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย

ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ
สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย
ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป

ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ”

การแข่งขันฟุตบอลยูโร

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (อังกฤษ: European Football Championship) หรือที่นิยมเรียกทั่วไปว่า ฟุตบอลยูโร เป็นการแข่งขันฟุตบอลรายการสำคัญที่สุดของทีมชาติในทวีปยุโรป ซึ่งจัดขึ้นทุก 4 ปีโดยสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) และจะห่างจากการแข่งขันฟุตบอลโลกของฟีฟ่า 2 ปี เริ่มแข่งขันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) ในชื่อรายการว่า ยูโรเปียนเนชันส์คัพ (European Nations Cup) จากแนวคิดของ อองรี เดอโลเนย์เลขาธิการสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสขณะนั้น ทั้งนี้การแข่งขัน 5 ครั้งแรก มีทีมชาติร่วมแข่งขัน รอบสุดท้ายเพียง 4 ประเทศ ต่อมาตั้งแต่การแข่งขันครั้งที่ 3 ประจำปี พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) เปลี่ยนชื่อการแข่งขันเป็น ยูโรเปียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ ดังที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และในครั้งที่ 6 เมื่อปี พ.ศ. 2523(ค.ศ. 1980) มีทีมชาติเข้าแข่งรอบสุดท้าย เพิ่มเป็น 8 ประเทศ ส่วนการแข่งขันนัดชิงลำดับที่สาม ยกเลิกไปในครั้งที่ 7 เมื่อ พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) จากนั้นในครั้งที่ 10 เมื่อปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) เพิ่มจำนวนเป็น 16 ประเทศ ในรอบสุดท้าย และในครั้งที่ 15 ซึ่งจะจัดขึ้นปี พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) ทีมชาติในรอบสุดท้ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 24 ประเทศ สำหรับการแข่งขันครั้งล่าสุด

การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 (อังกฤษ: 2016 UEFA European Football Championship; ฝรั่งเศส: Championnat d’Europe de football 2016) หรือรู้จักกันในชื่อ ยูโร 2016 (Euro 2016) เป็นการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปครั้งที่ 15 จัดโดยสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) โดยการแข่งขันรอบสุดท้ายจัดขึ้นที่ฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 10 มิถุนายน ถึงวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีทีมลงแข่งขันในรอบสุดท้าย 24 ทีม เปลี่ยนจากการแข่งขันเดิมที่มี 16 ทีม ซึ่งเริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อ 1996 ภายใต้การจัดการแข่งขันแบบใหม่นั้น จะแบ่งเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม รอบแพ้คัดออกจะมี 3 รอบ และนัดชิงชนะเลิศ โดย 24 ทีมแบ่งเป็น 19 ทีม (แชมป์กลุ่มและรองแชมป์กลุ่มของรอบคัดเลือก 9 กลุ่ม รวมไปถึงทีมอันดับที่ 3 ทีมีคะแนนดีที่สุด), ฝรั่งเศษ ซึ่งเข้ารอบอัตโนมัติจากการเป็นเจ้าภาพ และ ทีมจากการแขงขันเพลย์ออฟแบบเหย้า-เยือนของทีมอันดับที่ 3 ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2558 4 ทีม

ประเทศฝรั่งเศส ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 หลังจากการจับสลากแบ่งสายการแข่งขัน โดยชนะ ประเทศอิตาลี และ ประเทศตุรกี ในการคัดเลือกเจ้าภาพครั้งนี้ ซึ่งการแข่งขันจะจัดที่ 10 สนาม ใน 10 เมือง: บอร์โด, ล็องส์, ลีล, ลียง,มาร์แซย์, นิส, ปารีส, แซ็ง-เดอนี, แซ็งเตเตียน และ ตูลูซ โดยการจัดการแข่งขันครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 3 ในการเป็นเจ้าภาพของประเทศฝรั่งเศส หลังจากจัดการแข่งขัน ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1960 และ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1984 ซึ่งทีมชาติฝรั่งเศสเป็นแชมป์ในรายการนี้ 2 ครั้ง คือปี 1984 และ 2000

ทีมที่ชนะเลิศจะได้สิทธิ์เข้าไปแข่งขันใน ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2017 ที่ประเทศรัสเซีย

 

ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki

หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

       ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทาง การดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทย เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนา และบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็นโดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัยและวิกฤติ เพื่อความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา ความพอเพียงหมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี และต้องประกอบไปด้วยสองเงื่อนไข คือ เงื่อนไขความรู้ เงื่อนไขคุณธรรม

แผนภูมิ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบไปด้วย 5 ส่วน ดังนี้

ข้อที่ 1. กรอบแนวคิด
เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัย และวิกฤต เพื่อความมั่นคง และความยั่งยืนของการพัฒนา

ข้อที่ 2. คุณลักษณะ
เศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน

ข้อที่ 3. คำนิยาม ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 คุณลักษณะ ดังนี้

  1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไป และไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น เช่นการผลติ และการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ
  2. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ
  3. การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้ และไกล

ข้อที่ 4. เงื่อนไข การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัยทั้งความรู้ และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน 2 เงื่อนไข ดังนี้

  1. เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ
  2. เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต

ข้อที่ 5. แนวทางปฏิบัติ / ผลที่คาดว่าจะได้รับ
จากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาที่สมดุล และยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้ และเทคโนโลยี

 

ที่มา : http://เศรษฐกิจพอเพียง.net/

ทำคัพเค้กง่ายๆ ด้วยไมโครเวฟ 1 นาทีเท่านั้น

คนที่ชอบทำอาหารง่าย ๆ ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งกับเมนูขนมไมโครเวฟสุดง่ายที่เรานำมาฝากมีถึง 5 สูตร 5 รสชาติด้วยกัน ทั้ง “เค้กวานิลลาที่ฟรุ้งฟริ้งด้วยเกล็ดน้ำตาลหลากสีสัน” หรือจะรักสุขภาพด้วย “เค้กกล้วยหอมช็อกโกแลตแบบไร้แป้ง” ต่อด้วยเค้กสีสันจัดจ้านอย่าง “เค้กเรดเวลเว็ท” ตามมาติด ๆ กับ “เค้กแอปเปิลครัมเบิล” หอม ๆ กรุบกรอบ และตบท้ายด้วย “เค้กสีรุ้ง” คัลเลอร์ฟูลสุด ๆ ซึ่งใครที่แค่เห็นภาพคงไม่เชื่อหรอกว่า บรรดาเค้กทั้งหมดนี้ใช้เวลาอบเพียง 1 นาทีเท่านั้น และยังสามารถทำได้ง่ายมาก ๆ ในแก้วกาแฟ แต่มีข้อแม้เล็กน้อยคือ สูตรทั้งหมดนี้ใช้กับเตาไมโครเวฟขนาด 1,100 วัตต์ แต่เชื่อว่าไม่ยากเกินความสามารถแน่นอน

1. เค้กวานิลลาผสมเกล็ดน้ำตาลฟรุ้งฟริ้ง (Funfetti Mug Cake)

ส่วนผสม (สำหรับ 2 ถ้วย)

เนยจืด 2 ช้อนโต๊ะ (60 กรัม)
น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย (50 กรัม)
นมสด 2 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่ (ขนาดใหญ่) 1 ฟอง
กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
แป้งเค้ก 1 ถ้วย (150 กรัม)
ผงฟู 2 ช้อนชา
เกลือป่น เล็กน้อย
เกล็ดน้ำตาลหลากสี ตามชอบ

วิธีทำ
1. ใส่เนยจืดลงในถ้วย (หรือแก้วกระเบื้องที่สามารถนำเข้าไมโครเวฟได้) นำไปละลายในไมโครเวฟประมาณ 20-30 วินาที นำออกจาเตา

2. ใส่น้ำตาลทราย ไข่ไก่ นมสด และกลิ่นวานิลลาลงไป ใช้ส้อมตีผสมให้เข้ากัน

3. ใส่แป้ง ผงฟู และเกลือป่นลงไป ตีผสมจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว

4. ใส่เกล็ดน้ำตาลหลากสีลงไป คนให้เข้ากัน แบ่งส่วนผสมแป้งเป็น 2 ถ้วย

5. นำเข้าไมโครเวฟประมาณ 50 วินาที จนเนื้อเค้กฟู นำออกจากเตา แต่งให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟ

2. เค้กกล้วยหอมช็อกโกแลตไร้แป้ง ไร้กลูเตน (Gluten-free Chocolate Banana Mug Cake)


ส่วนผสม (สำหรับ 2 ถ้วย)

กล้วยหอม 1 ลูก
เนยถั่ว 1/4 ถ้วย (4 ช้อนโต๊ะ)
ไข่ไก่ (ขนาดใหญ่) 1 ฟอง
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
ผงโกโก้ 3 ช้อนโต๊ะ
กล้วยหอมฝานเป็นแว่นสำหรับแต่ง

วิธีทำ

1. บดกล้วยหอมในถ้วย (หรือแก้วกระเบื้องที่สามารถนำเข้าไมโครเวฟได้) ด้วยส้อมให้ละเอียด
2. ใส่เนยถั่ว น้ำตาลทราย และไข่ไก่ลงไป คนผสมให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียวและน้ำตาลทรายละลาย
3. เติมผงโกโก้ลงไป คนผสมให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียวอีกครั้ง แบ่งส่วนผสมแป้งเป็น 2 ถ้วย
4. นำเข้าไมโครเวฟประมาณ 1 นาที จนเนื้อเค้กฟู นำออกจากเตา แต่งด้วยกล้วยหอมฝานเป็นแว่น ๆ พร้อมเสิร์ฟ

3. เค้กเรดเวลเว็ท (Red Velvet Mug Cake)


ส่วนผสม (สำหรับ 1ถ้วย)

น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่ 1 ฟอง
สีผสมอาหารสีแดง 1/2 ช้อนชา
บัตเตอร์มิลค์ (ซาวร์ครีมหรือโยเกิร์ต) 3 ช้อนโต๊ะ
กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
แป้งเค้ก 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 4 1/2 ช้อนโต๊ะ
ผงฟู 1/8 ช้อนชา
ผงโกโก้ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น เล็กน้อย
ผงอบเชย เล็กน้อย
ครีมชีสฟรอสติ้งสำหรับแต่ง

วิธีทำ

1. ใส่น้ำมันพืช ไข่ไก่ สีผสมอาหารสีแดง และกลิ่นวานิลลาลงในถ้วย (หรือแก้วกระเบื้องที่สามารถนำเข้าไมโครเวฟได้) ตีผสมเข้าด้วยกัน

2. เติมแป้งเค้ก น้ำตาลทราย ผงฟู ผงโกโก้ เกลือป่น และผงอบเชย ฃลงไป ตีผสมให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว

3. นำเข้าไมโครเวฟประมาณ 50 วินาที จนเนื้อเค้กฟู นำออกจากเตา พักไว้จนเย็นก่อนแต่งด้วยครีมชีสให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟ

4. แอปเปิลครัมเบิลเค้ก (Apple Crumble Mug Cake)


ส่วนผสม (สำหรับ 1 ถ้วย)

แป้งเค้ก 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายแดงป่น 1 ช้อนโตะพูน
ผงอบเชย 1/2 ช้อนชา
ผงฟู 1/8 ช้อนชา
ซอสแอปเปิล 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 1/2 ช้อนโต๊ะ
นมสด 1/2 ช้อนโต๊ะ
กลิ่นวานิลลา 1/8 ช้อนชา
ไอศกรีมวานิลลา (หรือรสชาติอื่นตามชอบ)
ซอสคาราเมล สำหรับราด

ส่วนผสม ครัมเบิล

เนยสด 1 ช้อนโต๊ะ
แป้งเค้ก 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายแดงป่น 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1. ใส่แป้งเค้ก น้ำตาลทรายแดง ผงอบเชย และผงฟูลงในถ้วย (หรือแก้วกระเบื้องที่สามารถนำเข้าไมโครเวฟได้) คนผสมเข้าด้วยกัน

2. เติมซอสแอปเปิลลงไปคนผสมให้เข้ากัน ตามด้วยน้ำมันพืช และกลิ่นวานิลลา คนผสมให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว เตรียมไว้

3. ทำครัมเบิลโดยใส่เนยสดลงในอ่างผสม ตามด้วยแป้ง และน้ำตาลทรายแดง ใช้ส้อมคนผสมให้เข้ากันเป็นเม็ดทราย ตักใส่ลงในถ้วยเค้ก

4. นำเข้าไมโครเวฟประมาณ 45 วินาที จนขึ้นฟู นำออกจากเตา เสิร์ฟพร้อมไอศกรีม และซอสคาราเมล

5. เค้กสายรุ้ง (Rainbow Mug Cake)

ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่)

เนยสด (อุณหภูมิห้อง) 100 กรัม
น้ำตาลทรายขาว 1/2 ถ้วย (100 กรัม)
ไข่ไก่ (อุณหภูมิห้อง) 2 ฟอง
กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ถ้วย (110 กรัม)
ผงฟู 1/2 ช้อนชา
เบกกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา
เกลือป่น เล็กน้อย
สีผสมอาหารสีแดง, สีเหลือง, สีส้ม, สีเขียว และสีฟ้า
ครีมชีสฟรอสติ้ง สำหรับแต่ง

วิธีทำ

1. ตีผสมเนยสดที่นิ่มแล้วกับน้ำตาลทรายในอ่างผสมด้วยตะหร้อมือจนเป็นเนื้อครีม (ประมาณ 3 นาที) จากนั้นตอกไข่ไก่ใส่ลงไปตีผสมให้เข้ากัน ตามด้วยกลิ่นวานิลลา ตีผสมให้เข้ากันอีกครั้ง

2. ใส่แป้ง ผงฟู เบกกิ้งโซดา และเกลือป่นลงไปคนผสมพอเข้ากัน จากนั้นตักแบ่งส่วนผสมเป็น 5 ถ้วย

3. หยดสีผสมอาหารแต่ละสีประมาณ 2 หยดลงในถ้วยส่วนผสมแป้งแต่ละถ้วย คนผสมให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน

4. ใช้ปลายช้อนตักส่วนผสมเค้กแต่ละสีใส่ลงในถ้วยสำหรับเข้าไมโครเวฟ โดยตักใส่สลับสีสลับชั้นให้เป็นลายหินอ่อนให้สวยงามทั้ง 4 ถ้วย

5. นำเข้าไมโครเวฟประมาณ 45 วินาที จนเค้กขึ้นฟู นำออกจากเตา แต่งด้วยครีมชีสฟรอสติ้งให้สวยงาม

 

อ้างอิง http://cooking.kapook.com/view107956.html